สัญญาทองคำ ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (6 ม.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ การคาดการณ์ที่ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนธ.ค.จะปรับตัวขึ้น ยังทำให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง ลดน้อยลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,371.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,364.30 - 1,380 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 7.20 เซนต์ ปิดที่ 29.126 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,735.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 12.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 762.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนัก ข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างความคิดเห็นของเทรดเดอร์ในตลาดพันธบัตรว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ นี้ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และคาดว่าอัตราว่างงานจะร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 9.7% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลให้ความต้องการลงทุนในทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ ปลอดความเสี่ยงนั้น ลดลงด้วย
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กยังซบเซาลง หลังจากมีรายงานว่า กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ลดปริมาณการถือครองทองคำลงสู่ระดับ 1,272.7 ตัน จากระดับ 1,276.48 ตัน
ขณะเดียวกัน การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังส่งผลให้สัญญาทองคำร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สัญญาทองคำร่วงลงไปแตะระดับ 1,364 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.
อย่าง ไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มราคาทองคำ โดยนักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ความต้องการลงทุนในทองคำที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนราคาทองทะยานขึ้นไปแตะระดับ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2554 และเมื่อไม่นานมานี้ สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ความต้องการทองคำทั่วโลกเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการลงทุน พุ่งขึ้น 37%
http://mtsgold.co.th/th/news/financial/index.php?ELEMENT_ID=5091