Gold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold Chart

Thursday, January 20, 2011

กูรูมองแนวโน้มราคาทองยังไปต่อ แนะนลท.เล่นสั้นจ่อเก็งกำไรอีกรอบ


นักวิเคราะห์กองทุนรวม ประเมินราคาทองคำยังไม่หลุด1,350 -1,360 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แนะทยอยสะสมกองทุนทองคำต่อมั่นใจระยะยาวผลตอบแทนยังดี ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะเก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ1,350-1,420 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง บวกกับตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้ราคาทองคำในระยะสั้นปรับตัวในกรอบ Sideway อย่างไรก็ตามแนวโน้มระยะกลาง-ยาว เรายังคงมองเป็นขาขึ้นหากราคาทองคำยังไม่หลุด 1,350 - 1,360 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่สามารถรับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไรขึ้น ขายลงซื้อในกรอบ1,350-1,420 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาวแนะนำรอดูสถานการณ์ โดยกองทุนทองคำยังคงแนะนำเป็น K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย และทางเลือกสำหรับกองทุนทองคำที่ไม่จ่ายปันผลเราแนะนำกองทุนทองคำของบลจ.แอสเซ็ท พลัส ASP-GOLD ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน แต่ค่าใช้จ่ายกองทุน(Total Expenses) แพงกว่าเล็กน้อย ขณะที่ราคาน้ำมันเรายังคงแนะนำ “ขายทำกำไรและรอจังหวะสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว” โดยเรามองราคาน้ำมัน Sideway ในกรอบ 84-94 US$/bbl. กองทุนน้ำมันยังแนะนำ K-OIL ของบลจ.กสิกรไทย

ทั้งนี้การฟื้นตัวที่ดีของสหรัฐและการคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตที่ดี ทำให้ระยะสั้น ตลาดกลับไปสนใจลงทุนในสหรัฐเพิ่มมากขึ้นและทำให้ตลาดเกิดใหม่มีความผันผวน อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปยังมีความเปราะบาง ระยะยาวเรายังเชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่มีความแข็งแกร่งมากกว่าทางฝั่งตะวันตก แต่ต้องระมัดระวังความผันผวนของปัจจัยระยะสั้น ทั้งการไหลของกระแสเงินทุนและปัญหาเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตามเราจึงยังคงแนะนำลงทุนในกองทุนกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่าง ABGEM และ ABAPAC ของบลจ.Aberdeen ขณะที่กองทุนจีนคาดว่าจะเห็นความผันผวนจากการออกมาตรการควบคุมเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เรามองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมกองทุนจีนเพื่อการลงทุนในระยะยาวแนะนำสะสมกองทุนจีน ABCG (Aberdeen China Gateway Fund) สำหรับกองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำไปนั้น ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้อาจมีผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในค่าเงิน จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ ในส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเรายังคงแนะนำให้สะสมเพิ่มกองทุน TMB Global Bond Fund ที่เน้นลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยยังเชื่อว่าค่าเงินของประเทศดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนยังคงจับตาเศรษฐกิจสหรัฐ โดยแม้หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวจะให้ความหวังเชิงบวก แต่ตัวเลขด้านแรงงานก็ยังคงปรับตัวได้ไม่ดีนัก โดยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานล่าสุดก็ยังสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนต่อเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยเพิ่มขึ้นถึง 35,000 รายมาอยู่ที่ 445,000 ราย เป็นการเพิ่มสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์และตรงข้ามกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 5,000 ราย อย่างไรก็ดี แรงเก็งกำไรในช่วงฤดูประกาศผลประกอบการที่เริ่มต้นขึ้นช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นส่งให้ DJIA ปิดบวกได้เล็กน้อย จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ฝั่งยุโรป โดยรวมปรับตัวได้ดีกว่า สาเหตุหลักมาจากความมั่นใจในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น หลังโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการขายพันธบัตรในวันอังคารและตามติดมาด้วยพันธบัตรของสเปนและอิตาลีที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นกัน อีกทั้งจีนเเละญี่ปุ่นก็ช่วยเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อเเสดงเเรงสนับสนุนต่อยุโรป

ขณะที่ตลาดหุ้นจีน ช่วงต้นสัปดาห์ซื้อขายในกรอบแคบ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ในประเทศเข้ามาเป็นแรงหนุน ก่อนที่จะปิดลบค่อนข้างแรงให้วันศุกร์ที่ผ่านมา หลังนักลงทุนกลับมากังวลว่าจะมีนโยบายคุมเข้มทางการเงินอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อธนาคารกลางจีนได้ประกาศปรับเพิ่มเพดานกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ขึ้นอีก 0.50% มาที่ 19.50% โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (20 ธค) ส่วนฮ่องกง ตลาดปรับตัวตามทิศทางบวกของตลาดโลกและแรงเก็งกำไรผลประกอบการ ส่วนตลาดหุ้นไทยเอง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ไม่ส่งผลมากนักต่อ SETIเนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ ขณะที่ตลาดหุ้นในภาพรวมยังไร้แรงหนุนใหม่ๆและถูกกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกันกับตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ดัชนีจึงเคลื่อนไหวในทางลบ

http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000007814