Gold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold ChartGold ทองคำ Gold Today Gold Future Gold Price Gold Bar Gold Investment Gold Analysis Gold Chart

Thursday, September 8, 2011

แนะลงทุนทอง ฝ่าวิกฤติการเมือง เงินเฟ้อ Gold Trades Today

แนะลงทุนทอง ฝ่าวิกฤติการเมือง เงินเฟ้อ Gold Trades Today แนะลงทุนทอง ฝ่าวิกฤติการเมือง เงินเฟ้อ Gold Trades Today
แนะลงทุนทอง ฝ่าวิกฤติการเมือง เงินเฟ้อ Gold Trades Today TMB Analytics แนะลงทุนทอง ป้องกันความเสี่ยงการเมือง-เงินเฟ้อ เผยผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยสูงถึง 11.6% ต่อปี โอกาสขาดทุนน้อยกว่าหุ้น

"เศรษฐีพันล้านใน1ปี"โอกาสที่คุณต้องไม่พลาด กับโปรเจคพันล้านที่เร็วที่สุดth.distinctioneducation.org
อบรมหุ้น รวยพันล้านทำเงินกว่า 100% ใน 3 วัน เป็นเศรษฐี เทคนิคระดับโลก ลงทุนน้อย ได้มาก www.intelligentacademy.com

TMB Analytics รายงานว่า ในปีนี้ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนไทยต้องเผชิญ คือ แรงกดดันทางเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้มุมมองระยะสั้นของตลาดหุ้นในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นสำหรับสภาวะเช่นนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจTMB หรือ TMB Analytics มองว่าทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะนอกจากสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีผลตอบแทนที่ดีภายใต้สภาวะความไม่สงบทางการเมือง

ล่าสุดราคาทองคำแท่งในประเทศปรับตัวมาอยู่ที่บาทละ 20,150 บาท เมื่อเทียบกับราคาเมื่อต้นปี 2553 ที่ประมาณบาทละ 17,600 บาท คิดเป็นผลตอบแทนร้อยละ 14.5

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 11.6 นับเป็นอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงและจูงใจให้นักลงทุนหรือคนที่คิดจะออมเงินเก็บเงินบางส่วนไว้ในรูปของทองคำ

จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2543 การเก็บเงินในรูปทองคำจะให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดีกว่าอัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี

ขณะที่ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงร้อยละ 11.6 โดยมีบางช่วงบางปีเท่านั้นที่ทองคำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเงินเฟ้อ

10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในทองคำมีโอกาสขาดทุนคิดเป็นร้อยละ 5.3 จากจำนวนครั้งในการลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสขาดทุนร้อยละ 31.8 จากข้อมูลปี 2542-2553 เมื่อสมมติให้ลงทุนเดือนละครั้งโดยมีระยะเวลาลงทุน 1 ปี

หากคิดถึงผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว การลงทุนในทองคำมีผลขาดทุนสูงสุดที่ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนตลาดหุ้นมีผลขาดทุนสูงสุดถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

จากการศึกษาพบว่า ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากทองคำและผลตอบแทนจากตราสารทุนจะเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของดัชนี VIX ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในสายตาของนักลงทุนในต่างประเทศ โดยมีค่าสหสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlation) เท่ากับ 0.64 นั่นหมายความว่า การถือทองคำได้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบสูงขึ้นในยามที่เกิดความไม่แน่นอน เนื่องมาจากช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงนอกจากทองคำจะมีราคาไม่ลดลงแล้ว การถือตราสารทุนกลับให้ผลตอบแทนติดลบค่อนข้างมาก

ดังนั้นการเปลี่ยนจากการถือตราสารทุนมาเป็นทองคำ จึงช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากตราสารทุนและได้รับผลตอบแทนจากทองคำไปด้วย ซึ่งเมื่อคิดเป็นผลสุทธิแล้ว ทองคำจะทำให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารทุน

ทองคำใช้รักษาความมั่งคั่งได้ดีเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นในประเทศ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติอื่นๆในประเทศ เช่น มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า 30% ช่วงสิ้นปี 2549 หรือความไม่สงบทางการเมืองในรอบสามปีที่ผ่านมา ทองคำก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก และยังมีแนวโน้มผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาทองเคลื่อนไหวตามราคาตลาดโลก จึงทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะประเทศลงได้ (Idiosyncratic Risk)

"เราพบว่า ในช่วงที่เกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ ความผันผวนของตลาดหุ้นปรับสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่ทองคำไม่ได้ผลกระทบ จากข้อมูลทางสถิติพบว่าความผันผวน (standard deviation) ของผลตอบแทนในทองคำเพิ่มขึ้นกว่าภาวะปกติเพียงร้อยละ 1 ขณะที่ความผันผวนของผลตอบแทนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นถึงร้อละ 37"

ความจริงแล้วช่วงที่ผ่านมาราคาโลหะมีค่าอื่นปรับตัวลดลงมากจึงทำให้ราคาทองคำดูเหมือนว่าสูงผิดปกติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาของโลหะมีค่าและน้ำมันในตลาดโลก จะเห็นได้ว่าปกติแล้วดัชนีราคามักปรับตัวเกาะกลุ่มกัน และเพิ่งเริ่มเห็นความแตกต่างในช่วงปลายปี 2551 เนื่องจากราคาทองคำไม่ปรับตัวลดลงมากเหมือนน้ำมันและโลหะมีค่าอื่นๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าราคาทองคำปรับตัวสูงมากเกินไป ทั้งที่ความจริงในช่วงปลายปี 2553 ราคาแร่เงินมีการปรับสูงขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่ามาก

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทนทานต่อความเสี่ยงและเก็บรักษามูลค่าได้ดีกว่าโลหะมีค่าอื่นๆ เห็นได้จากตารางสถิติ ทองคำมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าโลหะมีค่าอื่นและน้ำมันไม่มากนัก แต่กลับมีความผันผวนต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทองคำแทบไม่เสียมูลค่าไปเลย ขณะที่โลหะมีค่าและน้ำมันมีมูลค่าลดลงอย่างชัดเจน

โดยสรุปแล้วทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บรักษาความมั่งคั่งได้ดี เพราะนอกจากผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าเงินเฟ้อแล้ว ยามเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำราคาทองคำก็ลดลงไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทอื่น นอกจากนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้น ทองคำให้ผลตอบแทนสุทธิสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น เพราะนอกจากผลตอบแทนทองคำจะไม่ต่ำลงมาก

ขณะเดียวกันเรายังสามารถหลีกเลี่ยงผลขาดทุนในตราสารทุนได้อีกด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ออมเงินที่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ และต้องการความปลอดภัยในเงินออมสูง ทองคำจึงยังคงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอยู่

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110224/378925/TMBแนะลงทุนทอง-ฝ่าวิกฤติการเมือง-เงินเฟ้อ.html
http://www.gokorat.com/2446/ข่าวสาร/ข่าวเศรษฐกิจ/ขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ-ถกต่อวันนี้-ราคาทองลง-1เปอร์เซ็น.html